Pay
chaichanamoonsang@gmail.com
10 วิธีพื้นฐาน เพื่อการพิมพ์ภาพที่สมบูรณ์ (4365 อ่าน)
14 ธ.ค. 2555 23:41
10 วิธีพื้นฐาน เพื่อการพิมพ์ภาพที่สมบูรณ์
เพียงแค่พริ้นเตอร์คุณภาพสูงอย่างเดียวนั้นยังไม่พอที่จะทำให้คุณพิมพ์ภาพถ่ายออกมาอย่างสมบูรณ์แบบได้ ตราบใดที่คุณละเลยขั้นตอนพื้นฐานต่อไปนี้
1. ความละเอียดภาพ
มาตรฐานของหน่วยที่ใช้วัดความคมชัดของภาพก็คือค่า dpi (dots per inch) หรือค่าที่แสดงถึงจำนวนจุดในพื้นที่ 1 ตารางนิ้วบนภาพ ซึ่งในที่นี้คุณต้องแน่ใจว่า ภาพถ่ายดิจิตอลของคุณนั้นมีค่าความละเอียดนี้อย่างน้อย 240 dpi แล้วสำหรับการพิมพ์ออกมาเป็นภาพขนาด 4 x 6 นิ้ว แต่ถ้าหากคุณต้องการพิมพ์ให้มีขนาดใหญ่ 5 x 7 นิ้ว หรือใหญ่กว่านี้ภาพดิจิตอลก็ควรมีความละเอียดอย่างน้อย 300 dpi
นอกเหนือไปจากเรื่องความละเอียดแล้ว คุณต้องแน่ใจด้วยว่าภาพถ่ายนั้น ๆ มีขนาดใหญ่พอที่จะนำไปพิมพ์ลงบนกระดาษที่คุณต้องการด้วย เพราะกรณีที่คุณนำภาพที่มีขนาดเล็กไปพิมพ์ลงบนขนาดใหญ่ ภาพที่ได้ออกมาจะแตกเป็นบล็อกรูปสี่เหลี่ยม หรือเกิดเป็นรอยหยักที่เห็นได้อย่างชัดเจน
2. รูปแบบไฟล์ภาพ
ในกรณีที่คุณมีภาพความละเอียดสูง คุณจำเป็นต้องบันทึกภาพให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมด้วยเช่น TIFF หรือ JPEG แต่เนื่องจากไฟล์ภาพแบบ JPEG นั้นจะมีการบีบอัดสูง ดังนั้นถ้าคุณต้องการพิมพ์ภาพโดยให้มีคุณภาพสูงจริง ๆ ก็ควรไฟล์ภาพแบบ TIFF เสมอ แม้ว่าไฟล์ภาพชนิดนี้จะมีขนาดใหญ่กว่ามากก็ตาม
3.ปรับแต่งคุณภาพภาพก่อนที่คุณจะนำภาพถ่ายมาพิมพ์ลงกระดาษ ถ้าเป็นไปได้คุณควรนำภาพนั้น มาตรวจสอบหรือทำการปรับแต่งด้วยโปรแกรมปรับแต่งภาพก่อน ซึ่งวิธีดังกล่าวนี้จะช่วยให้ภาพถ่ายมีความคมชัด มีความถูกต้องของสีและแสงมากยิ่งขึ้น หรือแม้แต่การลดจุดรบกวนสีในภาพที่ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลก็เป็นการปรับปรุงคุณภาพของภาพที่จะนำมาพิมพ์ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นการฟิลเตอร์ลักษณะต่าง ๆ มาใช้กับภาพก็จะยิ่งทำให้ภาพที่ดูมีคุณภาพขึ้นด้วย
สำหรับกรณีที่คุณไม่มีโปรแกรมตกแต่งภาพ คุณก็สามารถใช้ฟังก์ชั่นปรับแต่งภาพถ่ายในไดรเวอร์แทนได้เช่นกัน ทั้งในเรื่องการปรับความสมดุลของสีและแสงเงาต่าง ๆ
4. ใช้ไดรเวอร์เวอร์ชั่นล่าสุดถ้าเป็นไปได้พริ้นเตอร์ของคุณควรใช้ไดรเวอร์ที่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ทั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าไดรเวอร์ได้รับการแก้ไขมาให้เหมาะสมกับพริ้นเตอร์แล้วจริง ๆ นอกจากนั้นภายในไดรเวอร์เวอร์ชั่นใหม่ ๆ ก็มักจะมีค่ากำหนดบางอย่างสำหรับการพิมพ์เพิ่มเข้ามาด้วย โดยเฉพาะฟังก์ชั่นการปรับแต่งภาพ และการเลือกใช้ระบบสีที่เหมาะสม ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ภาพที่พริ้นเตอร์พิมพ์ได้มีคุณภาพจริง ๆ
5. ความละเอียดในการพิมพ์
เพื่อให้ภาพที่พิมพ์ได้มีคุณภาพสูงที่สุด คุณควรกำหนดให้พริ้นเตอร์พิมพ์ภาพด้วยความละเอียดสูงที่สุด เท่าที่พริ้นเตอร์จะทำได้ด้วย โดยเลือกที่หัวข้อ Best. Fine, Highest หรือกำหนดใช้ค่าความละเอียดสูงสุดที่พริ้นเตอร์ระบุ แต่อย่างไรก็ตามการที่คุณจะกำหนดค่าความละเอียดนี้ได้ พริ้นเตอร์บางรุ่นจะอ้างอิงจากชนิดของกระดาษที่ใช้ด้วย
6. ใช้หมึกพิมพ์ถ่ายภาพ
พริ้นเตอร์บางรุ่นสามารถใช้หมึกพิมพ์ได้ทั้งชนิดธรรมดา และแบบพิมพ์ภาพถ่าย ซึ่งในกรณีที่คุณ ต้องการพิมพ์ภาพให้ได้คุณภาพก็ควรเลือกใช้เฉพาะหมึกที่ออกแบบไว้สำหรับพิมพ์ภาพถ่ายจริง ๆ และถ้าเป็นไปได้ก็ควรเลือกใช้เฉพาะหมึกพิมพ์ที่ผู้ผลิตพริ้นเตอร์แนะนำให้ใช้เท่านั้น
7. การเลือกใช้กระดาษผู้ผลิตพริ้นเตอร์รายต่าง ๆ ล้วนแต่แนะนำให้ผู้ใช้ใช้กระดาษของตัวเองเสมอ โดยเฉพาะในกรณีของกระดาษพิมพ์ภาพถ่ายชนิดต่าง ๆ ซึ่งคุณก็ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าวนี้ เนื่องจากกระดาษพิมพ์ภาพถ่ายของผู้ผลิตต่าง ๆ ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี และมีความเข้ากันได้ดีกับหมึกที่ใช้กับพริ้นเตอร์นั้น ๆ มากที่สุด ซึ่งนอกจากจะให้ผลที่ดีกว่าในเรื่องคุณภาพที่ได้แล้ว ยังให้ผลที่ดีในเรื่องความทนทานของภาพและการเก็บรักษาในระยะยาวด้วย
8. การตั้งค่าชนิดกระดาษ
โดยปกติแล้วกระดาษที่เหมาะสำหรับใช้ในการพิมพ์ภาพจะรู้จักกันดีในชื่อว่ากระดาษพิมพ์ภาพถ่ายหรือ Photo Paper และในการกำค่าการพิมพ์คุณก็ต้องระบุการใช้กระดาษให้เป็นกระดาษพิมพ์ภาพถ่ายด้วย หรือถ้าจะพ่นลงบนกระดาษที่ใช้พิมพ์ภาพได้อย่างเหมาะสม และได้ภาพที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด
9. ทำความสะอาดและปรับตัวพิมพ์
ใช้ซอฟต์แวร์ไดรเวอร์ของพริ้นเตอร์รุ่นต่าง ๆ จะมี Tools สำหรับใช้บำรุงรักษาเครื่องเตรียมไว้ให้ผู้ใช้ใช้ด้วย ซึ่ง Tools เหล่านี้ก็มีผลต่อคุณภาพของการพิมพ์ออกมาเช่นกัน โดยเฉพาะการปรับค่าระยะหัวพิมพ์ให้มีความเหมาะสมและการทำความสะอาดหัวพิมพ์ ซึ่งคุณควรใช้อย่างสม่ำเสมอทั้งนี้เพื่อให้การพิมพ์ของเครื่องเกิดประโยชน์มากที่สุด
10. ระยะเวลาหมึกแห้งหลังจากที่พิมพ์ออกมาเป็นภาพได้แล้ว อย่าสัมผัสหรือจับที่ภาพในบริเวณที่มีหมึกพิมพ์หรือนำไปใส่กรอบกระจกในทันที เนื่องจากลายนิ้วมือและรอยคราบอื่น ๆ อาจจะติดไปที่ภาพ หรืออาจจะทำให้ภาพเปื้อนเลอะเทอะจนเกิดการเสียหายได้ แม้ว่าผู้ผลิตจะออกแบบหมึกพิมพ์และกระดาษมาให้สามารถแห้งได้ภายในเวลาอันสั้น แต่ทางที่ดีคุณควรรอให้หมึกแห้งสนิทจริง ๆ ก่อนด้วยการปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อย 18 ชั่วโมง
สำหรับกรณีที่คุณพิมพ์ภาพถ่ายเป็นจำนวนมาก หลังจากที่พิมพ์ภาพใดภาพหนึ่งแล้วก็ควรนำภาพนั้นออกจากพริ้นเตอร์ก่อน ก่อนที่ภาพต่อไปจะพิมพ์เสร็จออกมาทับ ทั้งนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าภาพที่พิมพ์ได้จะไม่ถูกซ้อนทับจนทำให้หมึกเลอะเทอะ หรือมีสิ่งไม่พึงประสงค์จากกระดาษมาติดอยู่บนภาพที่พิมพ์ได้นั่นเอง
ที่มาบทความ Hi-jethttp://www.itcomcenter.com/
223.205.179.225
Pay
ผู้เยี่ยมชม
chaichanamoonsang@gmail.com